คุณเคยสงสัยไหมว่าต้นไม้ใหญ่ในที่ดินของคุณ หรือสวนป่าที่ดูแลมานานหลายปี มีมูลค่าเท่าไหร่?
ในอดีต เราอาจมองมูลค่าของต้นไม้แค่ในแง่ของร่มเงา ความสวยงาม หรือมูลค่าเนื้อไม้เมื่อตัดขาย แต่ในยุคที่ทั่วโลกกำลังตื่นตัวเรื่อง “ภาวะโลกร้อน” ต้นไม้ทุกต้นที่คุณมี กำลังกลายเป็น “สินทรัพย์สีเขียว” ที่มีมูลค่าทางการเงินสูงกว่าที่คิด ผ่านสิ่งที่เรียกว่า คาร์บอนเครดิต
โดยทั่วไป การประเมินมูลค่าต้นไม้ (Tree Valuation) คือการตีราคาว่าต้นไม้ต้นนั้นๆ มีค่าเท่าไหร่ ซึ่งในอดีตมักใช้ในกรณีพิพาททางกฎหมาย (เช่น ถูกตัดโค่น) หรือเพื่อการประกันภัย โดยจะธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร่วมกับ กรมป่าไม้, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ, องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้อธิบายขอบเขตกำหนดขั้นตอนและหลักการในการประเมินราคาต้นไม้ที่กำหนดไว้เพื่อใช้ในการประเมินมูลค่าต้นไม้เพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์เบื้องต้นดังนี้
– ต้องเป็นต้นไม้อายุ 1 ปีขึ้นไป
– มีลำต้นตรง 2 เมตรขึ้นไป
– ต้องเป็นต้นไม้ที่ปลูกในที่ดินตนเอง
– ต้นไม้เป็นรายต้นที่ความสูง 1.30 เมตร
– มีเส้นรอบวงต้น ไม่ต่ำกว่า 3 เซนติเมตร และเปรียบเทียบเส้นรอบวงที่วัดได้กับตารางปริมาณและราคาเนื้อไม้
การวัดมูลค่าจะต้องมีกรรมการและสมาชิกธนาคาร อย่างน้อย 3 คนร่วมประเมินมูลค่าต้นไม้ และมูลค่าต้นไม้ที่รับการประเมินจะสามารถปล่อยกู้ให้ 50% ของราคาประเมินต้นไม้ชนิดนั้น ๆ โดยต้นไม้มีค่ามีทั้งหมด 58 ชนิด ดังนี้
สัก
ชิงชัง
กระซิก
กระพี้เขาควาย
สาธร
ประดู่ป่า
ประดู่บ้าน
มะค่าโมง
มะค่าแต้
เคี่ยม
เคี่ยมคะนอง
เต็ง
รัง
พะยอม
ตะเคียนทอง
ตะเคียนหิน
ตะเคียนซับตาแมว
ไม้สกุลยาง
สะเดา
สะเดาเทียม
ตะกู
ยมหิน
ยมหอม
นางพญาเสือโคร่ง
นนทรี
สัตบรรณ
ตีนเป็ดทะเล
พฤกษ์
ปีป
ตะแบกนา
เสลา
อินทนิลน้ำ
ตะแบกเลือด
นากบุด
ไม้สกุลจำปี
แคนา
กัลปพฤกษ์
ราชพฤกษ์
สุพรรณิการ์
เหลืองปรีดียาธร
มะหาด
มะขามป้อม
หว้า
จามจุรี
พลับพลา
กันเกรา
กระทังใบใหญ่
หลุมพอ
กฤษณา
ไม้หอม
เทพทาโร
ฝาง
ไผ่ทุกชนิด
ไม้สกุลมะม่วง
ไม้สกุลทุเรียน
มะขาม
แต่มิติใหม่ที่กำลังมาแรง คือการประเมิน “ความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะพาเราไปสู่เรื่องต่อไป
เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ มักจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นตัวการทำให้โลกร้อน ทั่วโลกจึงตั้งกติกาว่า ใครปล่อย CO2 เกินกำหนด จะต้อง “ชดเชย” วิธีการชดเชยที่ง่ายที่สุด คือการไปซื้อ “สิทธิ์ในการปล่อย” จากคนอื่นที่ช่วยลด CO2 สิทธิ์ที่ว่านี้เรียกว่า “คาร์บอนเครดิต” (1 เครดิต = การลด CO2 ได้ 1 ตัน)
แล้วต้นไม้เกี่ยวอะไรด้วย?
ต้นไม้คือ “เครื่องฟอกอากาศธรรมชาติ” ที่เก่งที่สุดในโลก มันดูดซับ CO2 เข้าไปเก็บไว้ในลำต้น กิ่ง ใบ ตลอดการเจริญเติบโต
ดังนั้น การปลูกต้นไม้ หรือ การดูแลป่าไม่ให้ถูกตัด จึงเป็นกิจกรรมที่ “ช่วยลด CO2” นั่นเอง
การที่มีต้นไม้หรือพื้นที่ปลูกต้นไม้จำนวนหนึ่งสามารถนำพื้นที่นั้นไปขึ้นทะเบียนในโครงการที่ได้รับการรับรอง (เช่น โครงการ T-VER ของไทย)
กระบวนการ มีรายละเอียด ดังนี้
1. ประเมินพื้นที่: ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินต้นไม้จะเข้ามาประเมินว่ามีกี่ต้น ชนิดใดบ้าง และคำนวณว่าพื้นที่มีความสามารถในการ “ดูดซับคาร์บอน” ได้เท่าไหร่ต่อปี
2. ขึ้นทะเบียน: ยื่นเอกสารเข้าร่วมโครงการเพื่อขอรับรอง
3.ติดตามผล: ดูแลต้นไม้ตามแผน และมีการตรวจสอบยืนยัน
4. รับรองเครดิต: เมื่อผ่านการรับรอง เจ้าของพื้นที่จะได้รับ “คาร์บอนเครดิต” ตามปริมาณ CO2 ที่ต้นไม้กักเก็บได้
5. นำไปขาย: เจ้าของที่มีพื้นที่ต้นไม้ดังกล่าวสามารถนำเครดิตที่ได้นี้ ไปขายในตลาดคาร์บอน ให้กับบริษัทหรือโรงงานที่ต้องการ “ชดเชย” การปล่อย CO2 ของตนเอง
หากคุณเป็นเจ้าของที่ดินและเริ่มสงสัยว่า ต้นไม้ในที่ของคุณมีมูลค่าเท่าไหร่? จะเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตได้อย่างไร? อย่าปล่อยให้โอกาสทางธุรกิจนี้หลุดลอยไป เริ่มต้นก้าวแรกอย่างมั่นคง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ m-property.co.th เพื่อให้เราช่วยคุณสำรวจและปลดล็อกมูลค่าที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในที่ดินของคุณ
อ้างอิง:
https://www.krungsri.com/th/research/research-intelligence/carbon-footprint-2025
https://www.sanook.com/money/650259/
https://www.facebook.com/share/p/1D4Kjtqxzx/