ไม่ใช่แค่ตัวเลข! ประเมินทรัพย์สินจับต้องไม่ได้คืออะไร ส่งผลต่อการตลาดและการตั้งราคาอย่างไร?

การประเมินมูลค่าแบรนด์ (Brand Equity) ไม่ได้มีไว้แค่ทำบัญชี แต่เป็น "เครื่องมือกลยุทธ์" ที่ช่วยให้คุณจัดสรรงบการตลาดได้อย่างคุ้มค่า และมีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่าในการซื้อขายกิจการอย่างไร

การประเมินทรัพย์สินจับต้องไม่ได้ (Intangible Property) คืออะไร?

การประเมินมูลค่าแบรนด์ เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ตัวเงิน (Intangible Property) ที่สามารถระบุได้และไม่มีลักษณะทางกายภาพที่จับต้องได้ แต่มีมูลค่าและสามารถสร้างประโยชน์เชิงเศรษฐกิจให้กับเจ้าของหรือกิจการได้ในอนาคต ได้แก่ มูลค่ากิจการ มูลค่าธุรกิจ มูลค่าแบรนด์ ชื่อเสียง ตรายี่ห้อ เครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น

วิธีการประเมินมีหลายวิธีการขึ้นอยู่กับข้อมูลที่มีและรูปแบบ แสดงวิธีการประเมินโดยภาพรวมเป็นดังนี้

วิธีการประเมินทรัพย์สินจับต้องไม่ได้ (Intangible Property)

การประเมินมูลค่าไม่ได้มีแบบเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ “วัตถุประสงค์” ว่าจะนำไปใช้ทำอะไร ซึ่งแบ่งออกเป็น 7 ประเภทหลักที่พบบ่อย ดังนี้

1. วิธีการส่วนต่างของราคา (Price Premium Method) คือ การประเมินโดยพิจารณาถึงส่วนต่างของราคาขาย หรือยอดขาย หรือกำไรที่เพิ่มขึ้น ของสินค้าเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าประเภทเดียวกันที่เป็น Generic Brand (หรืออีกด้านอาจพิจารณาถึงต้นทุนที่ลดลง) โดยส่วนต่างดังกล่าวจะได้จากการวิจัยสำรวจตลาด และทำการประมาณการมูลค่าส่วนต่างในอนาคต (Cash Flow Projection) ในระยะเวลาหนึ่งและคิดลดด้วยอัตราที่เหมาะสม ได้เป็นมูลค่าที่ประเมิน

2. วิธีการตัวคูณของรายได้ในอดีต (Multiple of Historical Earning) คือ การประเมินมูลค่า โดยพิจารณาถึงส่วนยอดขายและกำไร ในอดีตที่ผ่านมา และนำมาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักโดยพิจารณาให้ความสำคัญของปีที่ใกล้เคียงกับปัจจุบันมากกว่า และคูณด้วยค่าพหุคูณของรายได้ในอนาคต

3. วิธีการส่วนต่างของมูลค่าหุ้น (Stock Premium Method) คือ การประเมินมูลค่า โดยพิจารณาจากส่วนต่างของมูลค่าหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ราคาปิดเฉลี่ยคูณด้วยจำนวนหุ้น) หักออกด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholders ‘equity) หรือสินทรัพย์รวมหักด้วยหนี้สิน ตามงบการเงินที่แสดงไว้ และทำการประเมินโดยพิจารณาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักถึงมูลค่าในปัจจุบันและอดีตที่ผ่านมาระยะเวลาหนึ่ง

4. วิธีการต้นทุน (Cost Method) คือ การประเมินโดยพิจารณาจากต้นทุนในการพัฒนาในอดีตที่ผ่านมา เช่น ต้นทุนด้านการตลาด การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ ด้านการบริหาร ต้นทุนด้านการออกแบบ ต้นทุนด้านการวางแผน เป็นต้น

5. วิธีการเปรียบเทียบตลาด (Comparison Approach) คือ การประเมินโดยการเปรียบเทียบกับการซื้อขายมูลค่าทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ ประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกันที่มีการซื้อขายในตลาด (หากมี) เช่น ใบอนุญาตโรงงานน้ำตาล และทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบถึง ลักษณะทางการตลาด ยอดขาย ส่วนแบ่งตลาด ค่าความเสี่ยง และอื่น ๆ

6. วิธีการ Royalty Substitution Methods คือ การประเมินด้วยพิจารณามูลค่าจากค่าสัดส่วนของค่า Royalty (หรือในกรณีค่า Franchise) คูณกับยอดขายรวมในปัจจุบัน และทำการประมาณการายได้ในอนาคต (Cash Flow Projection) ในระยะเวลาหนึ่ง และคิดลดด้วยอัตราที่เหมาะสม ได้เป็นมูลค่าที่ประเมิน

7. วิธีการ Expert Opinion คือ การประเมินค่างานวรรณกรรมหรือทรัพย์สินบางประเภทที่มีความเป็นเอกลักษณ์หรือเฉพาะด้านสูง เช่น ภาพวาด เครื่องลายคราม พระเครื่อง เป็นต้น อาจต้องทำการประเมินโดยทำการสำรวจความเห็นของผู้รู้ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เป็นต้น

เอกสารที่ต้องใช้การประเมินมูลค่า

ข้อมูลหรือเอกสารดังต่อไปนี้ เป็นเอกสารที่ต้องใช้โดยทั่วไปในการประเมิน หากบางรายการไม่สามารถจัดหาได้ หรือไม่ได้ดำเนินการไว้ บริษัทฯ จะได้หารือถึงความจำเป็นและข้อจำกัดต่อไป

  1. ประวัติความเป็นมาของบริษัทฯ ลักษณะธุรกิจ วิลัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย ผู้บริหารจำนวนพนักงาน
  2. ยอดขายในรายละเอียดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และงบการเงินในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
  3. ข้อมูลผลิตภัณฑ์เบื่องต้น ราคาขาย ปริมาณการขาย พื้นที่การขายในประเทศ ต่างประเทศ
  4. ประเภทความคุ้มครองตามกฎหมาย เช่น การ จดทะเบียน ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ฯลฯ
  5. ด้านทั่วไปและการดำเนินงาน (General & Operation) ประกอบด้วย ข้อมูลผลิตภัณฑ์ในรายละเอียด ภาพลักษณ์ ประวัติองค์กร โครงสร้างองค์กร เจ้าหน้าบริหาร นโยบายและกลยุทธ์มาตรฐานคุณภาพอุตสาหกรรม
  6. ด้านการขาย (Sale) ประกอบด้วย ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ราคาขาย ฐานลูกค้าและคู่ค้า ช่องทางการจัดจำหน่าย ส่วนแบ่งตลาด นโยบายราคา และนโยบายการขาย การโฆษณาและการตลาดและแผนธุรกิจของบริษัทในปัจจุบันและอนาคต
  7. ด้านอสังหาริมทรัพย์และเครื่องจักร (Real Estate and Plant) ประกอบด้วยที่ตั้ง อาคารเครื่องจักรต่าง ๆ(เป็นข้อมูลเบื่องต้น หากไปประสงค์ทำการประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์และเครื่องจักรด้วย)
  8. ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการสร้างมูลค่าตรายี่ห้อตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา เช่น ต้นทุนในการดำเนินการด้านกฎหมาย ต้นทุนค่าโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ต้นทุนด้านการบริหาร ต้นทุนในการออกแบบผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
  9. ค่า Royalty Fee ที่ต้องจ่าย (หากมี) หรือค่า Franchise (ในกรณีขายเป็นแฟรนไชส์) จำนวนสมาชิกในอดีต และปัจจุบัน

การประเมินทรัพย์สินจับต้องไม่ได้ (Intangible Property) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงทางการเงินของคุณ ไม่ว่าธุรกรรมนั้นจะเล็กหรือใหญ่ การเลือกใช้บริษัทประเมินที่มีมาตรฐาน เป็นกลาง และเชื่อถือได้ จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยให้คำปรึกษาและให้บริการประเมินมูลค่าทรัพย์สินจับต้องไม่ได้ (Intangible Property) ด้วยมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อให้คุณได้ตัวเลขที่ถูกต้องและนำไปใช้งานได้จริง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือขอคำปรึกษาเบื้องต้นได้ที่ m-property.co.th เราพร้อมดูแลทุกขั้นตอนด้วยความใส่ใจเพื่อให้คุณได้รับบริการที่ดีที่สุด